วิธีการเลือกซื้อเมล็ดกาแฟ

เราจะพาไปดูหลักการในการเลือกซื้อเมล็ดกาแฟครับ ว่ามีรายละเอียดในการเลือกซื้ออย่างไรบ้าง เราอยากให้ทุกคนได้เมล็ดกาแฟที่ตรงต่อความต้องการมากที่สุดครับ

1. เลือกซื้อผลิตภัณฑ์โดยดูที่ชนิดของเมล็ดกาแฟ

1. เลือกซื้อผลิตภัณฑ์โดยดูที่ชนิดของเมล็ดกาแฟ

รสชาติของกาแฟสด หลัก ๆ เลย จะมาจากชนิดของเมล็ดกาแฟ โดยที่ในอุตสาหกรรมการผลิตกาแฟนั้น จะมีการใช้เมล็ดกาแฟอยู่ 2 ชนิด ด้วยกันคือ เมล็ดกาแฟอาราบิก้า และ โรบัสต้า เป็นกาแฟสองสายพันธุ์ที่ถูกปลูกเพื่อการพาณิชย์ ไปดูความแตกต่างของทั้งสองกันครับ

ผลิตภัณฑ์แบบเมล็ดกาแฟอาราบิก้าแท้ 100% ตัวเมล็ดจะเป็นทรงวงรี เส้นตรงกลางจะคด รสชาติของกาแฟที่ทำมาจากเมล็ดกาแฟอาราบิก้านั้นจะหวานหอม กลมกล่อมกว่า และรสชาติที่ซับซ้อนกว่า เพราะตัวเมล็ดมีกรดและน้ำตาลมากกว่า เป็นเมล็ดกาแฟที่ถูกใช้ในการบริโภคกาแฟทั่วโลกถึงประมาณ 60% ของทั้งหมด ถ้าคุณต้องการกาแฟสด รสชาติกลมกล่อม หวานละมุน ออกเปรี้ยวนิด ๆ ต้องเลือกเมล็ดกาแฟอาราบิก้าเท่านั้น

ผลิตภัณฑ์แบบเมล็ดกาแฟโรบัสต้าแท้ 100 % ตัวเมล็ดจะเป็นทรงกลม ได้สัดส่วนมากกว่า และเส้นตรงกลางจะตรงไม่คด รสชาติของกาแฟที่ทำมาจากเมล็ดกาแฟโรบัสต้านั้น จะเข้มข้นมากกว่าและมีรสสัมผัสที่หนักกว่า เพราะมีคาเฟอีนที่มากกว่านั่นเอง เหมาะสำหรับคอกาแฟที่ชอบความเข้มข้นในรสชาติแบบเข้มได้ใจ และเนื่องจากเมล็ดกาแฟโรบัสต้ามีปริมาณผลิตผลที่มากกว่าอาราบิก้า ทำให้ราคาจะถูกกว่านั่นเอง

ผลิตภัณฑ์แบบเมล็ดอาราบิก้าและโรบัสต้าผสมกัน บางผลิตภัณฑ์จะทำมาจาก เมล็ดกาแฟทั้งสองชนิดผสมกัน เวลาเปิดถุงกาแฟออกมาจะพบเมล็ดแบบสองขนาดคละ ๆ กันไป การผสมกันนี่เองทำให้ได้กาแฟที่รวมจุดเด่นของทั้งสองเมล็ดออกมา ได้รสชาติที่ทั้งเข้มข้นและกลมกล่อม หวานหอมอมเปรี้ยว รวมไว้ด้วยกันทั้งหมด ไม่แนะนำสำหรับมือใหม่ในการดื่มกาแฟ ควรลองแบบเมล็ดกาแฟแบบเดียวก่อน เพื่อให้รับรู้ถึงรสชาติอย่างแท้จริงของอาราบิก้า และโรบัสต้า จากนั้นจึงค่อยมาลองแบบผสมกัน

2. เลือกระดับการคั่วของเมล็ดกาแฟ

2. เลือกระดับการคั่วของเมล็ดกาแฟ

พอเลือกเมล็ดกาแฟได้แล้ว ต่อไปก็ต้องมาเลือกระดับการคั่วของเมล็ดกาแฟกันครับ ทำไมถึงต้องมาเลือกระดับการคั่ว? เพราะการคั่วที่ระดับแตกต่างกัน จะส่งผลให้ตัวเมล็ดกาแฟนั้น มีสีสันและความหอมที่แตกต่างกัน และเวลาชงกาแฟแล้ว จะได้กาแฟสดรสชาติที่แตกต่างกัน ถึงแม้ว่าจะใช้เมล็ดกาแฟชนิดเดียวกันก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น ความหวาน, ความขม และความเปรี้ยว ตามระดับการคั่ว อีกทั้งระดับการคั่วจะไม่มีชื่อเรียกที่เฉพาะเจาะจง จะเรียกกันตามระดับสีของเมล็ดกาแฟหลังจากคั่วเสร็จแล้วกันมากกว่า ไปดูรายละเอียดกันครับ

คั่วอ่อน เป็นระดับการคั่วที่อ่อนที่สุด ใช้เวลาในการคั่วไม่นาน เมื่อคั่วเมล็ดกาแฟสดที่ระดับนี้เสร็จแล้ว จะได้เมล็ดกาแฟสีน้ำตาลอ่อน ที่ไม่มีน้ำมันเกาะอยู่บนผิวของเมล็ด และเป็นการคั่วที่ยังคงรักษาระดับคาเฟอีนในเมล็ดกาแฟมากที่สุด จะมีความเปรี้ยว และความฝาดสูง เหมาะกับการดื่มในตอนเช้าที่ต้องการคาเฟอีนมาก บางครั้งจะถูกเรียกว่า การคั่วแบบ Light City, Half City, และ Cinnamon

คั่วปานกลาง เป็นระดับการคั่วที่เป็นที่นิยมของคนส่วนมาก ถ้าไม่รู้จะเลือกระดับการคั่วแบบไหน แนะนำเลือกแบบนี้ครับ การคั่วจะใช้เวลาปานกลาง จนได้เมล็ดกาแฟสีน้ำตาลที่เข้มปานกลาง และผิวของเมล็ดไม่มันเยิ้ม เป็นการคั่วที่ให้รสชาติกาแฟที่ออกหวาน ปนเปรี้ยวและขมเล็กน้อย จะมีชื่อเรียกในแบบอื่น ๆ เช่น Regular Roast, American Roast, City Roast และ Breakfast Roast

คั่วเข้มปานกลาง เป็นระดับการคั่วที่ตัวเมล็ดจะมีสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ ตัวเมล็ดจะเริ่มมีน้ำมันเกาะที่ผิวเล็กน้อย จะมีรสชาติหวานเล็กน้อย,ขม และมีเนื้อสัมผัสของกาแฟที่เพิ่มมากขึ้นมากกว่าแบบ อ่อนและปานกลาง ชื่ออื่น ๆ ที่คนเขานิยมเรียกกัน เช่น Full-City Roast, After Dinner Roast, Vienna Roast เป็นต้น

คั่วเข้ม เป็นการคั่วในระดับสูงสุด ใช้เวลาในการคั่วนานและไฟแรง จนคาเฟอีนในเมล็ดกาแฟหายไปเกือบหมด ตัวเมล็ดจะมีสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ คล้าย ๆ สีของช็อคโกแลต จะมีน้ำมันเคลือบผิวมาก ทำให้ผิวดูสวย เงางาม เป็นสีที่จะเห็นได้บ่อยในการถ่ายโฆษณากาแฟ

รสชาติในระดับการคั่วเข้มจะค่อนข้างขม ไปถึงขมมาก และกลิ่นหอมออกไหม้นิด ๆ เหมาะกับคอกาแฟที่ชอบรสชาติเข้มข้นและเนื้อสัมผัสที่หนัก และเป็นระดับการคั่วที่เหมาะกับการทำกาแฟเอสเปรสโซ่ การคั่วระดับนี้จะมีชื่อเรียกในแบบอื่น ๆ อีก เช่น French Roast, Italian Roast, Espresso Roast, Continental Roast, New Orleans Roast, and Spanish Roast เป็นต้น

3. เลือกระดับการบดของกาแฟ

3. เลือกระดับการบดของกาแฟ

เมื่อเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ของเมล็ดกาแฟและระดับการคั่วได้แล้ว ต่อไปก็ต้องมาเลือกระดับการบดของเมล็ดกาแฟกันครับ ต้องบอกก่อนว่า เมล็ดกาแฟคั่วแล้วที่ซื้อมานี้ ยังเอาไปชงกาแฟไม่ได้นะครับ ต้องทำการบดก่อน ซึ่งการบดก็มีหลายระดับ เช่น บดหยาบ บดละเอียด บดละเอียดมาก เป็นต้น ความละเอียดที่แตกต่างกันส่งผลต่อรสชาติของกาแฟ และเหมาะกับการชงกาแฟประเภทต่าง ๆ ที่แตกต่างกัน

ระดับการบดเมล็ดกาแฟเหมาะกับการชงกาแฟประเภท
หยาบมากCold Brew
หยาบFrench Press
หยาบ-ปานกลางDrip Coffee
ปานกลางPour-over Coffee (กระดาษกรอกแบบกรวย)
ละเอียดEspresso
ละเอียดมากTurkish Coffee

ต้องรู้กันก่อนว่า ตัวผงที่บดได้มานั้น จะไม่ละลายในน้ำร้อนเหมือนผงกาแฟสำเร็จรูปนะครับ ถึงแม้ว่าจะบดเมล็ดกาแฟให้ได้ในระดับที่ละเอียดมากที่สุดแล้วก็ตาม ดังนั้นจะต้องมีเครื่องช่วยชงกาแฟ หรืออย่างน้อยกระดาษกรอง หรือกระดาษดริป มาช่วยในการชงกาแฟด้วย และควรที่จะบดเมล็ดกาแฟเป็นครั้ง ๆ ไป ต่อการชงกาแฟ ไม่ควรบดทั้งหมดทีเดียวทั้งถุงที่ซื้อมา เพราะการเก็บในรูปแบบเป็นเมล็ด จะสามารถรักษาความสด กลิ่น และรสชาติ ได้นานกว่า

แต่ถ้าที่บ้านไม่มีเครื่องบด หรือไม่อยากจะบดเอง ปกติเวลาสั่งซื้อเมล็ดกาแฟออนไลน์ บริษัทส่วนใหญ่จะรับทำการบดให้ด้วย สามารถสั่งความละเอียดได้ ขึ้นอยู่กับความต้องการของผู้ซื้อ ถ้าไม่รู้ว่าจะสั่งความละเอียดขนาดไหน ควรสั่งที่ความละเอียดระดับปานกลาง เพราะเป็นความละเอียดที่เหมาะกับการชงแบบ Drip Coffee หรือ Pour-over Coffee มากที่สุด

สุดท้ายถ้ากาแฟที่ชงออกมาแล้วรสชาติยังอ่อนหรือเปรี้ยวไป ให้ลองบดกาแฟให้ละเอียดเพิ่มมากกว่าเดิม แต่ถ้ากาแฟรสชาติเข้มหรือขมเกินไป ก็ให้บดกาแฟให้หยาบกว่าเดิมครับ

การเก็บรักษาเมล็ดกาแฟของคุณ

การเก็บรักษาเมล็ดกาแฟของคุณ

เมล็ดกาแฟที่ซื้อมาแล้วนั้น เมื่อทำการชงกาแฟเสร็จแล้ว ควรเก็บไว้ในถุงที่ปิดมิดชิด ควรจะพับฝาถุงลงมาหลาย ๆ ทบแล้วใช้ตัวคีบหนีบไว้ พยายามไล่อากาศออกให้ได้มากที่สุด ถ้าเป็นถุงที่มีซิปล็อคจะง่ายหน่อย หรือถุงสุญญากาศได้ยิ่งดี แล้วนำถุงไปเก็บไว้ที่ที่แห้ง, เย็น และมืด เช่น ในตู้เก็บอาหาร หรือตู้เก็บของเหนือศีรษะ ให้ตัวถุงเมล็ดกาแฟหลีกเลี่ยงแสงแดดและความร้อนให้ได้มากที่สุด

และไม่ควรเก็บเมล็ดกาแฟในตู้เย็นหรือในช่องแช่งแข็ง เพราะความชื้นจะทำให้เมล็ดกาแฟเสียรสชาติและกลิ่น และตัวเมล็ดกาแฟอาจจะดูดกลิ่นอาหารอื่น ๆ ในตู้เย็นได้  การเก็บรักษาที่ดีจะช่วยยืดอายุของความสดของเมล็ดกาแฟได้ถึง 1 -2 อาทิตย์ แต่ทางที่ดีที่สุดคือซื้อเมล็ดกาแฟในปริมาณที่สามารถกินหมดได้ใน 1 สัปดาห์